กฎหมายประกันสังคม สําหรับบุคคล ถูกนิยามภายใต้เงื่อนไขของกฎหมายแรงงาน เผยแพร่ เมื่อวันที่ 25 กันยายน ปีค.ศ. 2002 เพื่อกําหนดแผนการประกันสังคมที่ระบุถึงแผนเงินบํานาญที่ถูก จัดไว้ในรูปแบบผลประโยชน์เมื่อชราภาพ ผลประโยชน์จากการทุพพลภาพ และผลประโยชน์สําหรับ ทายาทผู้ประกันตน การประกันความเสี่ยงอันเกิดจากการประกอบอาชีพ ซึ่งรวมถึงการบาดเจ็บจาก การทํางานและผลประโยชน์จากการเจ็บป่วยจากโรคอันเกิดจากการทํางาน
ลูกจ้าง ซึ่งมีฐานะเป็นผู้ประกันตน ก็คือ บุคคลที่สมัครเข้าทํางานในสถานประกอบกิจการที่มีลูกจ้าง รวมกันตั้งแต่ ๒๐ คนขึ้นไป โดยกฎหมายประกันสังคมบังคับให้ลูกจ้างดังกล่าวต้องจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน ประกันสังคม ซึ่งนายจ้างจะเป็นผู้หักเงิน ค่าจ้างทุกครั้งที่มีการจ่ายค่าจ้างและนําส่งเข้ากองทุนประกันสังคมเป็นเงินสมทบส่วนของลูกจ้าง
นายจ้าง ผู้ซึ่งมีฐานะรับลูกจ้างเข้าทํางานโดยจ่ายค่าจ้าง และผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทํางานแทน นายจ้างในกรณีที่นายจ้างเป็นนิติบุคคล เช่น บริษัทจํากัด หรือห้างหุ้นส่วนต่าง ๆ นายจ้างหมายความรวมถึง มีอํานาจ กระทําการแทนนิติบุคคล และผู้ซึ่งได้รับมอบหมายจากผู้มีอํานาจ กระทําการแทนนิติบุคคลให้ทําการ แทนด้วย
เงินสมทบ คือ เงินที่นายจ้าง ลูกจ้าง และรัฐบาล หรือเงินที่ผู้ประกันตนและรัฐบาลร่วมกัน จ่ายสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม เพื่อจ่ายเป็นประโยชน์ทดแทนให้แก่ผู้ประกันตนหรือผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทน
เมื่อผู้ประกันตนได้จ่ายเงินสมทบมาครบกําหนดระยะเวลาที่เป็นเงื่อนไขตามกฎหมาย แล้วเกิดประสบเคราะห์ภัยหรือได้รับความเดือดร้อนตามประเภทของการประกันภัยสังคมแต่ละประเภท ก็จะ มีสิทธิขอรับประโยชน์ทดแทนในรูปแบบต่าง ๆ ดังที่กล่าวมา ยสํานักงานประกันสังคมจะเป็น องค์กรที่รับผิดชอบดูแลให้ผู้ประกันตน หรือผู้มีสิทธิรับประโยชน์ทดแทนได้รับความช่วยเหลือเพื่อบรรเทา ความเดือดร้อน ตามกฎหมายประกันสังคม
ข้อมูลจาก https://www.dsi.go.th